วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

สัปดาห์ที่ 14

24 เมษายน 2561

          วันนี้เป็นสัปดาห์สุดท้ายของการเรียนในวิชานี้ ซึ่งวันนี้ เราได้มีการทำอาหารสำหรับเด็กปฐมวัย ตามที่เคยแบ่งกลุ่มกันไว้ 3 กลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มจะต้องทำ 2 เมนู 




          และวันนี้อาจารย์ก็ได้ทำขนมหวานให้ทาน คือบัวลอยไข่หวาน ที่ทำจากสีธรรมชาติ สีเหลืองจากฟักทอง สีม่วงจากมันม่วง เป็นขนมที่น่าทานและปลอดภัยไม่มีสิ่งเจือปนมาก 


          และกิจกรรมสุดท้ายของวันนี้ คือการแจกของรางวัลให้กับนักศึกษาที่มีดาวเด็กดีเยอะ จำนวน 15 รางวัล ซึ่งดิฉันก็เป็นหนึ่งในผู้โชคดีคนนั้นด้วย


ประเมินอาจารย์ : อาจารย์น่ารักมาก ทำขนมอร่อย และใส่ใจกับการทำมาก 

ประเมินเพื่อน : เพื่อนๆทุกคนดูแล้วมีความสุขกับการทำอาหาร และ ตั้งใจทำอย่างมาก

ประเมินตัวเอง : ดิฉันเป็นคนที่ทำอาหารไม่ค่อยเก่ง แต่ก็คอยเป็นลูกมืออย่างตั้งใจ 

วันเสาร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2561

สัปดาห์ที่ 13

17 เมษายน 2561


          วันนี้เป็นวันที่เปิดทำการเรียนการสอนวันแรก หลังจากที่หยุดยาวสงกรานต์ วันนี้อาจารย์ก็ทำการสอนตามปกติ วันนี้เราเรียนเรื่องอาหารและโภชนาการสำหรับเด็กปฐมวัย 


อาหารและโภชนาการสำหรับเด็กปฐมวัย 

          อาหารเป็นสิ่งสำคัญที่สุดต่อร่างกายของมนุษย์ นับตั้งแต่ปฏิสนธิอยู่ในครรภ์มารดาเมื่อเริ่มมีชีวิต ทารกจะได้รับอาหารผ่านทางสายรก และใช้ในการเจริญเติบโตตลอดมา อาหารที่เรากินเข้าไปจะส่งผลต่อร่างกายของเรา เช่น เรากินอาหารที่มีคุณค่า เราก็จะสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างกระฉับกระเฉง มีพลังที่จะดำเนินชีวิตประจำวันได้


หลักของโภชนาการได้จัดแบ่งอาหารออกเป็นหมู่ได้ 5 หมู่ ได้แก่

อาหารหมู่ที่ 1 เนื้อสัตว์ต่างๆ ถั่วเมล็ดแห้ง ช่วยสร้างเสริมและซ่อมแซมอวัยวะต่างๆอาหารหมู่ที่ 2 ข้าว หัวเผือก หัวมัน แป้ง น้ำตาล ให้พลังงานความอบอุ่นอาหารหมู่ที่ 3 ผักใบเขียวและพืชผักต่างๆ ให้วิตามิน เกลือแร่และเส้นใยอาหารหมู่ที่ 4 ผลไม้ต่างๆ ให้วิตามินและเกลือแร่อาหารหมู่ที่ 5 ไขมัน น้ำมันจากพืชและสัตว์ ให้พลังงานและความอบอุ่น 

หลักการจัดอาหารที่เหมาะสมกับพัฒนาการเด็ก
          ในช่วงอายุแรกเกิดถึง 5 ปีถือเป็นช่วงที่สำคัญที่สุดของการเจริญเติบโตและการมีพัฒนาการในทุกๆด้านของชีวิตเพราะเป็นช่วงที่ร่างกายมีการเจริญเติบโตและพัฒนาการอย่างรวดเร็วทางเด็กได้รับการเลี้ยงดูได้รับอาหารอย่างเพียงพอก็จะทำให้เด็กเติบโตได้อย่างสมบูรณ์แข็งแรง

อาหารสำหรับเด็กทารก (แรกเกิด - 1 ปี)
ในระยะแรกเกิดจนถึง 4 เดือนให้เด็กกินนมแม่เพียงอย่างเดียวการเริ่มฝึกให้อาหารเด็กตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไปแบ่งได้เป็น 6 ระยะดังนี้

อายุ 4 เดือน ระยะเริ่มแรกให้อาหารเสริมนอกจากนมแม่แล้วให้เข้าบดผสมกับน้ำแกงจืดเล็กน้อยเพื่อให้กลืนง่ายผสมไข่แดงต้มสุกประมาณ 1 ใน 4 ฟองบนน้ำแกงจืดที่ใส่ผักต่างๆให้สลับกับกล้วยน้ำว้าสุกงอม

อายุ 5 เดือน เด็กยังกินนมแม่แต่ควรเพิ่มโปรตีนจากเนื้อปลาบดละเอียดผสมน้ำแกงจืดจากผัก ควรใส่ผักในข้าวสลับกับฟักทองมะเขือเทศหรือแครอทสลับกับการใส่ไข่แดงต้มสุกบดให้ละเอียด 1 ฟอง

อายุ 6 เดือน กินนมแม่ให้อาหารแทนนม 1 มื้อโดยเริ่มกินไข่ต้ม ใส่น้ำแกงจืดผสมผัดตับบดและผลไม้สุกบดละเอียดตามฤดูกาล

อายุ 7 เดือน ยังกินนมแม่ ในระยะนี้เด็กเริ่มมีฟันกระเพาะอาหารสามารถสร้างน้ำย่อยได้แล้ว ควรให้อาหารชนิดใหม่ๆที่มีลักษณะข้นขึ้นและหยาบมากขึ้นเช่นเนื้อสัตว์ต่างๆสับเป็นชิ้นเล็กๆ

อายุ 8 ถึง 10 เดือน ให้กินนมแม่และให้อาหารแทนนมแม่ได้ 2 มื้อโดยให้อาหารสลับกันในปริมาณที่มากขึ้น

อายุ 10-12 เดือน ควรให้เด็ก คอยช่วยเหลือโดยหาอาหารที่ไม่แข็งไม่เหนียวและมีขนาดใหญ่เกินไปหรือให้ถึงกินเองบ้างเพิ่มมื้ออาหารเป็นสามเณรเมื่ออายุครบ 12 เดือนก็สามารถกินอาหารได้มากขึ้นและหลากหลายขึ้น

อาหารสำหรับเด็กอายุ 1-3 ปี
     เป็นวัยที่ต้องการสารอาหารและพลังงานมากกว่าผู้ใหญ่เสริมสร้างภูมิต้านทานโรค ควรให้อาหารหลัก 3 มื้อและอาหารเสริมเป็นนมและของว่างที่มีประโยชน์

อาหารสำหรับเด็กอายุ 3-5 ปี
     เด็กในวัยนี้จะมีระยะการเจริญเติบโตที่ช้ามากกว่าในระยะ 2 ระยะแรกดังนั้นจึงไม่ต้องการอาหารในการพัฒนาการมากนักจะให้ความสนใจอาหารน้อยลงผู้ดูแลควรดูแลอาหารหลักอาหารกลางวัน 1 มื้ออาหารเสริมหรืออาหารว่าง 2 มื้อสิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือรสชาติต้องอร่อยถูกปากเด็กทั้งต้องมีความหลากหลายและเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพด้วย


จากนั้นอาจารย์ก็สั่งงานให้ไปหาเมนูอาหารเพื่อที่จะมาทำกันในอาทิตย์หน้า 



ประเมินอาจารย์ : วันนี้อาจารย์สอนได้อย่างเข้าใจง่ายมาก 
ประเมินเพื่อน : เพื่อนๆทุกคนตั้งใจเรียนมาก 
ประเมินตอนเอง : วันนี้ตั้งใจเรียนมาก 

วันอังคารที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2561

สัปดาห์ที่ 12

10 เมษายน 2561


          วันนี้เป็นการเรียนในรายวิชาการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยเป็นสัปดาห์ที่ 12 วันนี้ตอนต้นชั่วโมง อาจารย์ได้แนะนำเกี่ยวกับตารางเรียนในช่วงปี2 และแนะนำกิจกรรมที่จะทำในช่วงทำกิจกรรมรับน้อง ต่อจากนุ้นก็เป็นขั้นตอนของการนำเสนองานที่อาจารย์ได้มอบหมายให้ไปทำในสัปดาห์ก่อน คือ วิธีการจัดการประสบการณ์ คุณธรรมพื้นฐาน 8 ประการ แต่เนื่องด้วยสัปดาห์นี้ เป็นสัปดาห์ที่จะเข้าวันหยุดยาวสงกรานต์จึงทำให้เพื่อนๆ จำนวนมาก เดือนทางกลับบ้าน ทำให้บางกลุ่มไม่ได้นำเสนองาน ซึ้งในวันนี้มีกลุ่มที่นำเสนองานดังต่อไปนี้ 



 ต่อจากนุ้นก็เป็นขั้นตอนของการนำเสนองานที่อาจารย์ได้มอบหมายให้ไปทำในสัปดาห์ก่อน คือ วิธีการจัดการประสบการณ์ คุณธรรมพื้นฐาน 8 ประการ แต่เนื่องด้วยสัปดาห์นี้ เป็นสัปดาห์ที่จะเข้าวันหยุดยาวสงกรานต์จึงทำให้เพื่อนๆ จำนวนมาก เดือนทางกลับบ้าน ทำให้บางกลุ่มไม่ได้นำเสนองาน ซึ้งในวันนี้มีกลุ่มที่นำเสนองานดังต่อไปนี้ 


1.ความมีน้ำใจ 

คือ ความจริงใจที่ไม่เห็นแก่เพียงตัวเองหรือเรื่องของตัวเอง แต่เห็นอกเห็นใจ เห็นคุณค่าในเพื่อนมนุษย์ มีความเอื้ออาทร เอาใจใส่ ให้ความสนใจในความต้องการ ความจำเป็น ความทุกข์สุขของผู้อื่น และพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน ผู้ที่มีน้ำใจ คือ ผู้ให้และผู้อาสาช่วยเหลือสังคม รู้จักแบ่งปัน เสียสละความสุขส่วนตน เพื่อทำประโยชน์แก่ผู้อื่น เข้าใจ เห็นใจ ผู้ที่มีความเดือดร้อน อาสาช่วยเหลือสังคมด้วยแรงกาย สติปัญญา ลงมือปฏิบัติการ เพื่อบรรเทาปัญหาหรือร่วมสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้เกิดขึ้นในชุมชน

                                  

2.ความสุภาพ

คือ เรียบร้อย อ่อนโยน ละมุนละม่อม มีกิริยามารยาทที่ดีงาม มีสัมมาคารวะ ผู้ที่มีความสุภาพ คือ ผู้ที่อ่อนน้อมถ่อมตนตามสถานภาพและกาลเทศะ ไม่ก้าวร้าว รุนแรง วางอำนาจข่มผู้อื่น ทั้งโดยวาจาและท่าทาง แต่ในเวลาเดียวกันยังคงมีความมั่นใจในตนเอง เป็นผู้ที่มีมารยาท วางตนเหมาะสมตามวัฒนธรรมไทย


                                      

                                      

3.ความสามัคคี

คือ ปราศจากความมัวหมอง ทั้งกาย ใจ และสภาพแวดล้อม ความผ่องใส เป็นที่เจริญตา ทำให้เกิดความสบายใจแก่ผู้พบเห็น ผู้ที่มีความสะอาด คือ ผู้รักษาร่างกาย ที่อยู่อาศัย สิ่งแวดล้อมถูกต้องตามสุขลักษณะ ฝึกฝนจิตใจมิให้ขุ่นมัว มีความแจ่มใสอยู่เสมอ

                                        
                                       

                                       

4.ความประหยัด 

คือ การรู้จักเก็บออม ถนอมใช้ทรัพย์สิน สิ่งของให้เกิดประโยชน์คุ้มค่า ไม่ฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ ผู้ที่มีความประ หยัด คือ ผู้ที่ดำเนินชีวิตเรียบง่าย รู้จักฐานะการเงินของตน คิดก่อนใช้ คิดก่อนซื้อ เก็บออม ถนอมใช้ทรัพย์สินสิ่งของอย่างคุ้มค่า รู้จักทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายของตนเองอยู่เสมอ


                                          

5.ความสะอาด 

คือ ปราศจากความมัวหมอง ทั้งกาย ใจ และสภาพแวดล้อม ความผ่องใส เป็นที่เจริญตา ทำให้เกิดความสบายใจแก่ผู้พบเห็น ผู้ที่มีความสะอาด คือ ผู้รักษาร่างกาย ที่อยู่อาศัย สิ่งแวดล้อมถูกต้องตามสุขลักษณะ ฝึกฝนจิตใจมิให้ขุ่นมัว มีความแจ่มใสอยู่เสมอ


                                      
                              

                                     

6.ความขยัน

คือ ความตั้งใจเพียรพยายามทำหน้าที่การงานอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ อดทนไม่ท้อถอยเมื่อพบอุปสรรค ความขยันต้องควบคู่กับการใช้ปัญญา แก้ปัญหาจนเกิดผลสำเร็จตามความมุ่งหมาย ผู้ที่มีความขยัน คือ ผู้ที่ตั้งใจทำอย่างจริงจังต่อ เนื่องในเรื่องที่ถูกที่ควร เป็นคนสู้งาน มีความพยายาม ไม่ท้อถอย กล้าเผชิญอุปสรรค รักงานที่ทำ ตั้งใจทำหน้าที่อย่างจริงจัง


                                       
           

                                        

7.ความซื่อสัตย์

คือ ประพฤติตรง ไม่เอนเอียง ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม มีความจริงใจ ปลอดจากความรู้สึกลำเอียงหรืออคติ ผู้ที่มีความซื่อสัตย์ คือ ผู้ที่มีความประพฤติตรง ทั้งต่อหน้าที่ ต่อวิชาชีพ ตรงต่อเวลา ไม่ใช้เล่ห์กล คดโกง ทั้งทางตรงและทางอ้อม รับรู้หน้าที่ของตนเองและปฏิบัติอย่างเต็มที่ถูกต้อง


                                   


                                    

8.ความมีวินัย 

คือ การยึดมั่นในระเบียบแบบแผน ข้อบังคับ และข้อปฏิบัติ ซึ่งมีทั้งวินัยในตนเองและวินัยต่อสังคม ผู้ที่มีวินัย คือ ผู้ที่ปฏิบัติตนในขอบเขต กฎระเบียบของสถานศึกษา สถาบัน/องค์กร/สังคมและประเทศ โดยที่ตนเองยินดีปฏิบัติตามอย่างเต็มใจและตั้งใจ


ประเมินอาจารย์ : อาจารย์น่ารัก คอยให้คำปรึกษาแนะนำตลอด และเวลาสอนก็จะคอยให้หลักในการการคิด และแนวทางในการปฏบัติมาใช้

ประเมินเพื่อน : เพื่อนทุกคนมีความตั้งใจที่จะนำงานของตอนมานำเสนอเป็นอย่างดี และแต่ละกลุ่มมีแนวทางในการนำเสนอที่หลากหลายแตกต่างกันไป

ประเมินตนเอง : มีความตั้งใจและรับผิดชอบต่องานของตนเองดี 

สัปดาห์ที่ 11

27 มีนาคม 2561

          วันนี้เป็นสัปดาห์ทีี่ 11 ของการเรียนในรายวิชา การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย วันนี้ก็เป็นการนำเสนอผลงานที่อาจารญืเคยให้ไว้ คือ การไปสัมภาษณ์คุณครูตามโรงเรียนต่างๆ เกี่ยวกับการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย ดดยแต่ละกลุ่มก็จะจัดทำเป็นวีดีโอของตนเอง แล้วนำมาเปิดหน้าชั้นเรียน เพื่อให้เพื่อนๆได้รับชมร่วมกัน 

1.มูลนิธิปากเกร็ด



2.โรงเรียนเทพวิทยา




3.โรงเรียนวัดสนามนอก




4.โรงเรียนสาธิตราม 



ประเมินอาจารย์ : อาจารย์ตั้งใจดูสิ้งที่นักศึกษษนำเสนอเป็นอย่างมาก และคอยสอดแทรกข้อคิดต่างๆ และคอยเสนอแนะสิ่งที่ควรนำมาปรับปรุง


ประเมินเพื่อน : เพื่อนทุกคนมีความรับผืดชอบต่องานของตอนเองเป็นอย่างมาก ส่งงานตรงเวลา และงานออกมาดีทุกกลุ่ม


ประเมินตนเอง : ตั้งใจเรียน และ ฟังการนำเสนองานดี 

วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2561

สัปดาห์ที่ 10

20 มีนาคม 2561

         

          วันนี้เป็นสับดาห์ที่ 10 ของการเรียนในรายวิชา การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย วันนี้พวกเราได้เรียนเกี่ยวกับ แนวทางการจัดสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ และ การปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมให้เด็กปฐมวัย



แนวทางการจัดสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้



          สิ่งแวดล้อมแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. สิ่งแวดล้อมภายในตัวบุคคลได้แก่ร่างกาย
2. สิ่งแวดล้อมภายนอก ได้แก่ สังคม สิ่งของ

          ปัจจัยของสิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการ
1. ประสบการณ์ ที่เด็กได้รับจากการตอบสนองความต้องการพื้นฐาน
2. ประสบการณ์ที่ได้รับจากการสร้างสัมพันธ์ภายในครอบครัว เช่น การแสดงออกถึงความเป็นพี่ เป็นน้อง
3. ประสบการณ์ที่เด็กได้รับจากการสร้างความสัมพันธ์ภายในสังคม เช่น บทบาททางสังคม
4. ประสบการณ์ที่ได้รับความสะเทือนใจมาตั้งแต่เด็ก เช่น ความรุนแรงภายในครอบครัว อุบัติเหตุ


          สิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อการพัฒนาเด็กปฐมวัยซึ่งจัดเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
1. สิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมพัฒนาการทางกาย เช่นมลภาวะ อาหาร
2. สิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมพัฒนาการทางอารมณ์และสังคม เช่น รถติด ชุมชนแออัด การติดต่อสื่อสาร
3. สิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมพัฒนาการทางด้านสติปัญญา เช่น การศึกษาผ่านโทรศัพท์มือถือ


          การจัดสิ่งแวดล้อมในสถานศึกษาเด็กปฐมวัย
1. การจัดสิ่งแวดล้อมในห้องเรียน เป็นการจัดวัสดุอุปกรณ์และวิธีการที่มีลักษณะและคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับการทำกิจกรรมภายในอาคารและภายในห้องเรียน
2. การจัดสิ่งแวดล้อมนอกห้องเรียน ครูผู้สอนจะต้องพิถีพิถันในการพิจารณาวางแผนอย่างดี


การปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมในเด็กปฐมวัย


                 

          จริยธรรม คือ หลักเกณฑ์แห่งการปฏิบัติที่ดี ที่เหมาะ ที่ควร เป็นหลักคำสอนที่ว่าด้วยแนวทางการปฏิบัติที่เป็นและการพัฒนาคนให้มีจริยธรรมต้องใช้ระยะเวลาโดยเริ่มตั้งแต่วัยต้นของชีวิต


๏ ทฤษฎีจริยธรรมตามแนวคิดการให้เหตุผลเชิงจริยธรรมของโคลเบอร์ก
โดยแบ่งออกเป็น 3 ระดับคือ ระดับก่อนกฎเกณฑ์  ระดับกฎเกณฑ์สังคม และระดับเลยกฎเกณฑ์ของสังคม สำหรับเด็กปฐมวัยจะอยู่ในขั้นแรกของทฤษฎีคือระดับก่อนกฎเกณฑ์ เด็กวัยนี้จึงตัดสินความถูกผิดจากความรู้สึกของตนเองโดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
ขั้นตอนที่ 1 การหลีกเลี่ยงการลงโทษและการทำตามคำสั่ง
ขั้นตอนที่ 2 การปฏิบัติเพื่อมุ่งหวังรางวัลส่วนตัว


๏ ทฤษฎีการเรียนรู้จริยธรรมด้วยการกระทำตามแนวคิดของสกินเนอร์
          พฤติกรรมของคนเกิดจากการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมผลจากการแสดงพฤติกรรมนั้นจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าพฤติกรรมนั้นจะมีแนวโน้มเกิดขึ้นอีกหรือไม่พฤติกรรมของคนเกิดจากการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมผลจากการแสดงพฤติกรรมนั้นจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าพฤติกรรมนั้นจะมีแนวโน้มเกิดขึ้นอีกหรือไม่ในสถานการณ์ที่คล้ายสถานการณ์เดิม
          ถ้าเกิดขึ้นอีกจะเรียกผลของพฤติกรรม นั้นว่าการเสริมแรงทางบวก
          แต่ถ้าไม่เกิดขึ้นอีกเรียกผลของพฤติกรรมนั้นว่าการลงโทษ


๏ ทฤษฎีการเรียนรู้พฤติกรรมจริยธรรมตามแนวคิดของแบนดูรา
ขั้นตอนที่ 1 กระบวนการตั้งใจ
ขั้นตอนที่ 2 กระบวนการเก็บจำ
ขั้นตอนที่ 3 กระบวนการกระทำ
ขั้นตอนที่ 4 กระบวนการจูงใจ


           8 คุณธรรมพื้นฐาน
1. ขยัน คือ ความตั้งใจเพียรพยายามทำหน้าที่การงานอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ
2. ประหยัด คือ การรู้จักเก็บออมถนอมใช้ทรัพย์สิน
3. ซื่อสัตย์ คือประพฤติตรงไม่เอนเอียงไม่มีเล่ห์เหลี่ยมมีความจริงใจ
4. มีวินัย คือ การยึดมั่นในระเบียบแบบแผน ข้อบังคับและข้อปฏิบัติ
5. สุภาพ คือ อ่อนโยน ละมุนละม่อม
6. สะอาด คือ ปราศจากความมัวหมองทั้งกาย ใจ และสภาพแวดล้อม
7. สามัคคี คือ ความพร้อมเพียงกัน ความกลมเกลียวกันความปรองดองกัน
8. มีน้ำใจ คือ ความจริงใจที่ไม่เห็นแก่เพียงตัวเองหรือเรื่องของตัวเอง


ประเมินอาจารย์ : อาจารย์สอนเข้าใจง่าย ยกตัวอย่างได้อยากเห็นภาพชัดเจน

ประเมินเพื่อน : เพื่อนๆตั้งใจเรียนมาก

ประเมินตนเอง : ตั้งใจเรียนดี 

วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2561

สัปดาห์ที่ 9

13 มีนาคม 2561 


          วันนี้เป็นสัปดาห์ที่อาจารย์นัดสอบกลางภาคนอกตาราง โดยการสอบจะเริ่มตั้งแต่ 12.00 น. ถึง 14.00 น. ก่อนถึงเวลาสอบนั้น เพื่อนๆทุกคนดูตื่นเต้นมาก บางคนก็หาที่อ่านหนังสือทบทวนเงียบๆคนเดียว บางคนก็จับกลุ่มติวกับเพื่อน เมื่อถึงเวลาสอบ เพื่อนก็เข้าที่ของตนเอง และตั้งใจทำข้อสอบเป็นอย่างมาก 



          เมื่อสอบเสร็จแล้ว ก็ได้ทำการส่งสมุดบันทึกกิจกรรม เพื่อให้อาจารย์ตรวจ เมื่อตรวจเรียบร้อยก็แยกย้ายกัน


ประเมินอาจารย์ : อาจารย์น่ารัก ขนาดสอบแล้สยังทำให้นักศึกษาผ่อนคลายโดยหามีมุกมาเล่น

ประเมินเพื่อน : เพื่อนทุกคนดูตื่นเต้นกับการสอบมาก เพราะเป็นข้อเขียนทั้งหมด 

ประเมินตนเอง : มีความตื่นเต้นมากๆเหมือนกัน แต่ก็ทำเต็มที่แล้ว ทำดีที่สุดแล้ว 

สับดาห์ที่ 8

6 มีนาคม 2561



           วันนี้เป็นสัปดาห์ที่ 8 ของการเรียนในรายวิชา การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย วันนี้อาจารย์ได้ชี้แจงเกี่ยวกับวันหยุดที่ใกล้จะถึง 

ต่อจากนั้นก็ได้ให้ชมคลิปตัวอย่างของการไปสัมภาษณ์ครูและผู้ปกครอง ในหัวข้อเรื่อง การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย เพื่อเป็นแนวทางในการปฏบัติงานในครั้งต่อไป เมื่อดูคลิปวีดีโอเสร็จเรียบร้อย กิจกรรมต่อมาก็เป็นการนำเสนองานที่ได้รับมอบหมาย คืองานเกี่ยวกับการแสดงบทบาทสมมติเกี่ยวกับรูปแบบการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยทั้ง 4 วิธี ดังนี้


รูปแบบการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย 4 วิธี


1.การอบรมเลี้ยงดูแบบประชาธิปไตย

          การอบรมเลี้ยงดูแบบประชาธิปไตยเป็นการเลี้ยงดูที่ พ่อแม่ ให้ความรัก ความเอาใจใส่ ความเข้าใจ ใช้เหตุผลกับลูกให้ลูกรู้สึกว่าได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรมนอกจากให้ความรักแล้วยังให้ความสำคัญกับลูก โดยถือว่าลูกคือส่วนสำคัญต่อครอบครัวพ่อแม่ต้องให้ในสิ่งที่ลูกต้องการจริงๆ


          การเลี้ยงลูกแบบประชาธิปไตย จะทำให้เด็กเป็นคนเปิดเผย เป็นตัวของตัวเองมีเหตุผล มีความรับผิดชอบ มีอารมณ์ขัน ร่าเริงแจ่มใสมองโลกในแง่ดี เรียนรู้อะไรได้อย่างรวดเร็ว สามารถปรับตัวได้ดี 


2. การอบรมเลี้ยงดูแบบปล่อยปละละเลย

          
           การอบรมเลี้ยงดูแบบปล่อยปละละเลย เป็นการเลี้ยงดูที่พ่อแม่ ไม่ค่อยสนใจเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของลูก ลูกจะเล่นอะไรอย่างไรพ่อแม่ไม่เคยเอาใจใส่ ปล่อยให้ลูกทำอะไรต่างๆตามใจชอบ ไม่ชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องและเหมาะสม 


          การอบรมเลี้ยงดูแบบปล่อยปละละเลย จะทำให้เด็กมีลักษณะก้าวร้าว ชอบทะเลาะกับผู้อื่นอยู่บ่อยๆ มีทัศนคติไม่ดีต่อพ่อแม่ ลูกมีอาการเซื่องซึมไม่สามารถปรังตัวได้ง่าย มีความตึงเครียดทางอารมณ์

3. การอบรมเลี้ยงดูแบบคาดหวังเอากับเด็ก

           การอบรมเลี้ยงดูแบบคาดหวังเอากับเด็ก พ่อแม่มักจะเคี่ยวเข็ญให้ลูกทำตามสิ่งที่พ่อแม่เห็นว่าดีเท่านั้น มักดุด่าว่ากล่าวเมื่อลูกอธิบายหรอแสดงเหตุผลคัดค้าน กำหนดวิธีการดำเนินชิวิตตั้งแต่เกิด 

          การเลี้ยงดูแบบคาดหวังเอากับเด็ก จะทำให้เด็กเป็นคนเจ้าอารมณ์ ปรับตัวกับสังคมภายนอกได้ยาก ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ไม่มีความเป็นตัวของตัวเองไม่กล้าตัดสินใจ ขาดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ชอบพึ่งพาผู้ใหญ่ 


4. การอบรมเลี้ยงดูแบบรักถนอมเกินไป


           การอบรมเลี้ยงดูแบบรักถนอมเกินไป พ่อแม่มักจะคอยชี้แนะช่วยเหลือตลอดเวลา ไม่ยอมให้ลูกเล่นกับเพื่อเพราะกลัวลูกถูกรังแก ไม่ยอมให้ลูกได้ช่วยเหลือตนเองเวลาทำงานต่างๆ


    
          การอบรมเลี้ยงดูแบบรักถนอมมากเกินไป จะทำให้เด็กเป็นครที่เอาแต่ใจ ขาดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง คอยพึ่งพาผู้อื่นอยู่เสมอ พึ่งตนเองไม่ได้ ไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยตนเองได้ 

สรุปเรื่องที่เรียน : การอบรมเลี้ยงดูเด็กมีหลายวิธี แต่ละครอบครับก็จะมีวิธีการเลี้ยงดูที่แตกต่างกันออกไป แต่วิธีที่ดีที่สุด คือการมอบความรัก เอาใจใส่ให้ลูก ควรสอนสิ่งที่ดีงามและถูกต้องให้เด็ก เพราะครูที่ดีที่สุดของลูกคือพ่อแม่ 

ประเมินอาจารย์ : อาจารย์ตั้งใจดูการนำเสนอมาก และคอยให้คำแนะนำและสอดแทรกความรู้ให

ประเมินเพื่อน : เพื่อนๆทุกคนมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตน ตั้งใจในการนำเสนอ และตั้งใจดูการนำเสนอของเพื่อน

ประเมินตนเอง : ตั้งใจเรียนดี และตั้งใจดูการนำเสนอของเพื่อนแต่ละกลุ่มอย่างเรียบร้อยดี